วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

การจัดการไวรัสSSCVIHOST.EXE

ก็อบเขามานะครับใช้ดีไม่ดีบอกกันบ้างนะ เนื่องจากขณะนี้ปรากฏว่า มีหนอนไวรัส ชื่อ SSCVIHOST.EXE (จะมีชื่อ SSCVIHOST และ New Folder.exe อยู่ในเครื่อง จำลองตนเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบวินโดวส์) จาก Wizard Hacker มาจากเวียดนามแล้วมาต่อที่มาเลเซีย ติดต่อผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แฮนด์ดี้ไดรฟ์ และอุปกรณ์เชื่อมต่อสื่อบันทึกข้อมูลทุกชนิด (เริ่มปรากฏตัวตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน2550 และเริ่มแสดงผลและมีความรุนแรงเรื่อยมา- สังเกตได้จากเครื่องรวนและช้ามากผิดปกติ) ซึ่งไวรัสจะมีผลดังนี้ 1. เข้าปิดกั้นประสิทธิภาพและทรัพยากรพลังงานการทำงานขอ งเครื่องคอมพิวเตอร์มีความเร็วลดลงอย่างมาก เครื่องจะทำการรีบูตเอง หรือลักหลับเปิดตัวเองอยู่เสมอ (ไม่มีแสดงตนว่าเปิดเครื่องอยู่ แต่มีการใช้ไฟฟ้า-อาการคือ Power Supply จะมีความร้อนมากอยู่ตลอดเวลาแต่ใบพัดลมไม่หมุนถึงแม้ ว่าจะปิดสวิตช์แล้ว-ยกเว้นท่านถอดปลั๊กไฟออกจากเต้าเสียบ) จนถึงเดี้ยงได้ 2. หนอนไวรัส จะเข้าทำการเปลี่ยนแปลงค่าระบบ Registry Entry และ Properties Setting ทั้งระบบ จนไม่สามารถจะแก้ไขได้ในบางกรณี และท้ายสุดทุกกรณี 3. ทำลายอุปกรณ์เชื่อมต่อทุกตัวให้เกิดความผิดพลาดในการ ใช้งาน และเมื่อเปิดใช้งานนานๆ ตัวหนอนไวรัสจะทำลายระบบ ROM และ RAM (หน่วยความจำ) เครื่องของท่าน ทันที 4. การใช้งานมัลติมีเดีย รวมถึงโปรแกรมต่างๆ จะไม่สามารถทำได้ง่ายๆ จนถึงไม่สามารถทำงานได้เลย 5. มีการปิดกั้นพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ และทำลายอย่างสิ้นเชิง เริ่มตั้งแต่พอร์ตการใช้งานอินเทอร์เน็ต เม้าส์ คีย์บอร์ด โดยการสกัดสัญญาณ เนื่องจากผู้สร้างมีความประสงค์ร้ายต่อตัวอุปกรณ์ ไม่ประสงค์จะเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เนื่องจากจะถูกตรวจพบได้ง่ายนั่นเอง (สงสัยจะเป็นพวกทำมาหากินกับการซื้อขายพัสดุอุปกรณ์ป ระเภทนี้แฮะ...) 1. เทคนิคการป้องกันการติดเชื้อ และบรรเทาอาการ ให้ลง ARDV 1.02 หรือศูนย์เตือนภัยตัว T และลง NOD 32 รุ่น 2.7.39 หรือสูงกว่า หรืออัพเดตผ่านอินเทอร์เน็ต เมื่อเสียบไดร์ฟเข้ากับเครื่องหาก ตัว T กระพริบเป็นสีเขียว เหลือง หรือแดง ห้ามเปิดไฟล์เด็ดขาด ให้คลิกที่ ไอคอน NOD 32 แล้วเลือกสแกนฆ่าเฉพาะไดร์ฟที่เชื่อมต่อเท่านั้น(อย่ า..เลือกการสแกนทั้งหมดจะทำให้เชื้อมีโอกาสตรวจพบการ ตรวจจับก่อน และรีบแฝงเข้าระบบทันที) ทั้งนี้เป็นการป้องกันการติดเชื้อเข้าเครื่องเท่านั้ น และลบไฟล์ SSCVIHOST ได้เฉพาะสื่อพ่วงต่อเท่านั้น หากมีอยู่ในเครื่องแล้วไม่สามารถกำจัดได้ จะต้องลงวินโดว์ใหม่เลยคับ เป้าหมายของ ARDV ในปัจจุบันปัญหาคอมพิวเตอร์ปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้งานคอ มพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต้องเผชิญอยู่ทุกๆวัน คงหนีไม่พ้นไวรัสคอมพิวเตอร์ ในอดีตไวรัสที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความเสียหาย ส่วนใหญ่จะต้องอาศัยช่องโหว่สำคัญที่อยู่ในระบบปฎิบั ติการ แต่ในปัจจุบันทางผู้ผลิตซอฟแวร์ต่างๆ ก็ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในโค้ดซอฟแวร์ของพวกเขา มากขึ้น โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการที่เรารู้จักกันดีก็คือ Windows ของบริษัท Microsoft ที่ได้หาทางป้องกันปัญหาต่างๆที่ไวรัสอาจนำเอาไปใช้ใ นการแพร่กระจาย แต่อย่างไรก็ตามไวรัสยังคงสามารถแพร่ระบาดในวิธีอื่น ๆ อีกถึงแม้ความรวดเร็วจะไม่มีมากเหมือนแต่ก่อน โดยอาศัยช่องทางที่สำคัญอีกทางที่กำลังจะกล่าวถึงก็ค ืออุปกรณ์ดิสแบบถอดได้ (Removable Disk) หรือที่เราเรียกว่าแอนดี้ไดร์วนั่นเอง จริงๆแล้วช่องทางนี้ไม่ได้ใหม่อะไร หากย้อนกลับไปในอดีตไวรัสก็เคยแพร่กระจายผ่านทางแผ่น ดิสมาแล้ว แต่ในปัจจุบันอุปกรณ์ที่เข้ามาแทนที่แผ่นดิสก็คงเป็น แฮนดี้ไดร์วอย่างไม่ต้องสงสัย จากคุณสมบัติที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ ไวรัสก็เริ่มพัฒนาตามลงมาอาศัยอยู่ในอุปกรณ์พวกนี้ด้ วย เพราะพาหะตัวนี้ดูเหมือนจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ หนทางในการจัดการป้องกันไวรัสที่มากับอุปกรณ์พวกนี้จ ากซอฟแวร์แอนตี้ไวรัสปัจจุบัน ยังมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ถ้าซอฟแวร์พวกนี้จะลบไฟล์ไวรัสได้จำเป็นจะต้ องมีการพิสูจน์และวิเคราะห์จากทางผู้ผลิตและอัพเดต ฐานข้อมูลไวรัสผ่านทางอินเตอร์เน็ตก่อน ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะรับประกันได้ว่าจะไม ่มีการลบผิดตัวอย่างแน่นอน ซึ่งหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็คงสร้างความไม่ไว้วางใ จจากผู้ใช้และคงส่งผลต่อความนิยมของซอฟแวร์แอนตี้ไวร ัสนั้นๆ ด้วย จากปัญหาที่เคยประสบมา เราทำได้แต่รอให้ไวรัสพวกนี้ติดเข้าเครื่องแล้วก็ร้อ งขอความช่วยเหลือจากซอฟแวร์ป้องกันไวรัส ดูเหมือนเรากำลังเล่นซ่อนหากันอยู่ ทันทีที่ไวรัสถูกค้นพบ ซอฟแวร์แอนตี้ไวรัสส่วนใหญ่ก็จะอัพเดตตัวเองผ่านทางอ ินเตอร์เน็ตแล้วก็กำจัดไวรัสได้ แต่อีกมุมหนึ่งของเมืองคนเขียนไวรัสก็นั่งเขียนไวรัส ตัวใหม่แล้วก็ลองรันในเครื่องของเขาที่ได้ติดตั้ง ซอฟแวร์แอนตี้ไวรัสจากทุกๆบริษัทดังๆเพื่อหาวิธีที่จ ะให้ไวรัสของเขาไม่ถูกตรวจพบ แน่นอนเขาทำสำเร็จแน่เพราะวิธีที่จะทำให้ไม่ถูกตรวจพ บมีมากมายนับไม่ถ้วนที่เดียว บางครั้งแค่แก้ไขโค้ดเพียงบรรทัดเดียว ซอฟแวร์แอนตี้ไวรัสที่เคยเป็นศัตรูกับกลายเป็นมิตรอย ่างหน้าตาเฉย ผู้ที่เดือนร้อนของหนีไม่พ้นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกๆคน ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว เครื่องสาธารณะอย่างคอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัย คอมพิวเตอร์ในร้านอินเตอร์เน็ต ไม่เพียงเท่านั้น คอมพิวเตอร์เหล่านี่กลายเป็นเครื่องผีดิบที่เป็นแหล่ งสำรองทัพของพวกไวรัส เพราะคอมพิวเตอร์เหล่านี้ มีคนมากหน้าหลายตามาใช้งานไม่เว้นแต่ละวัน และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่มีแฮนดี้ไดร์ว ติดตัวกันทุกคน และอดไม่ได้ที่จะมีการเชื่อมต่อมันกับคอมพิวเตอร์เหล ่านี้ เมื่อไปใช้คอมพิวเตอร์ที่ทำงาน บ้าน มหาวิทยาลัย หรือที่อื่นๆ มันก็จะแพร่กระจายไปที่นั่นด้วย และก็คงแก้ไขปัญหากันไม่สิ้นสุด ยกตัวอย่างเช่น หมู้บ้าน A ติดไวรัส คนจากหมู่บ้าน B มาใช้งานแค่คนเดียวและครั้งเดียวกลับไปที่หมู่บ้าน B เป็นช่วงที่หมู่บ้าน A ลงทุนกำจัดไวรัสจนหมดไปจากหมู่บ้าน เชื่อเถอะว่าสักวันไม่คนใน หมู่บ้าน A ก็ B ต้องนำไวรัสกลับมาในหมู่บ้าน A อย่างเดิม ผมเคยคิดเล่นๆไว้ว่าถ้าเราจะกำจัดไวรัสจริง คงต้องตัดการเชื่อมต่อทั้งคนและเครือข่ายหรือไม่ก็ปิ ดเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมๆกันทั้งโลก ซึ่งมันไม่มีทางทำได้ ฉะนั้นการแก้ไขที่ปลายเหตุของไม่ใช่ประเด็น เราควรป้องกันเสียดีกว่า เมื่อเรารู้อยู่แล้วไม่อาจหยุดยั้งการกระทำของคนเขีย นไวรัสได้ เราก็ป้องกัน หากเราจะกำจัดมันให้ได้ทุกตัวคงเป็นเรื่องยากมากๆ สิ่งที่ทำได้ซึ่งมันก็เพียงพอแล้วสำหรับคนใช้คอมพิวเ ตอร์ ก็คือศึกษามันและป้องกันก็เพียงพอ ทั้งหมดนี้คือที่มาของโปรเจคเล็กๆ ที่เขียนโปรแกรมขึ้นโดยไม่ได้มีความยุ่งยากและซับซ้อ นอะไร จุดประสงค์จริงๆของโปรแกรมนี้เพื่อตัดการเชื่อมต่อไว รัสที่มากับแฮนดี้ไดร์วก่อนที่จะเข้าสู่คอมพิวเตอร์ หลักการง่ายๆที่ผมยึดก็คือ "เราไม่มีสิทธิลบไฟล์ใดๆของผู้อื่น ตราบใดที่เรายังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าไฟล์น ั้นไม่ปลอดภัยต่อเครื่องของเขา เราทำได้เพียงยกเลิกคำสั่งที่เสี่ยงลงเท่านั้น" หลักการง่ายๆแค่นี้แต่สามารถป้องกันเครื่องจากไวรัสอ ย่างได้ผล กล่าวคือ ไม่ว่าอุปกรณ์ที่มาเชื่อมต่อนั้นจะมีไวรัสอะไรก็ตามโ ปรแกรมจะไม่สนใจทั้งสิ้น เพราะมันจะไม่มีโอกาสได้รันหรือทำคำสั่งอะไรบนเครื่อ งของเรา อย่างเด็ดขาด หากผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอเป็นกรณีพิเศษ ไฟล์ไวรัสที่อยู่ในแฮนดี้ไดร์วจะไม่ถูกลบแต่จะไม่ทำง าน ด้วยวิธีนี้ถึงแม้ไวรัสจะถูกเขียนขึ้นมาใหม่กี่ครั้ง กี่หนก็ไม่สามารถติดเชื้อเครื่องของเราได้ เพราะบันไดขั้นแรกของการ ทำงานของมันถูกตัดขาด ถึงแม้ว่าขั้นที่สอง สามของไวรัสจะเต็มไปด้วยความสามารถในการสร้างความเสี ยหาย ระบบการแพร่กระจายที่รวดเร็วไร้ข้อผิดพลาด เท่ากับว่าทั้งหมดสูญเปล่า ไฟล์ไวรัสคือไฟล์ที่สามารถรันได้ซึ่งมีอยู่หลายนามสก ุล เช่น *.exe *.com *.scr *.pif *.bat *.vbs *.js *.cmd ซึ่งเราสามารถตรวจสอบในเบื้องต้น หากพบไฟล์นามสกุลพวกนี้ โดยไม่ทราบแหล่งที่มา ขนาดไฟล์ไม่ใหญ่(เพราะหากเป็นไวรัส ขนาดไฟล์ตัวเองที่ใหญ่นั้นอาจทำให้การเคลื่อนที่ไฟล์ ไม่สะดวก) ก็ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าเป็นไวรัส การทำงานของ ARDV ARDV ได้แบ่งการตรวจสอบไฟล์และลักษณะไฟล์ที่เข้าข่ายรูปแบ บของไวรัสซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้ 1. Auto Run Spreading คือเทคนิคที่กำลังถูกนำมาใช้เป็นอย่างมากเนื่องจากมี โอกาสที่แพร่กระจายได้มาก ไวรัสจะสร้างไฟล์ autorun.inf ในการรันตัวเองสู่ระบบ ไวรัสประเภทนี้เช่น Hacked By Godzilla รูปแบบ ไฟล์ autorun.inf + ไฟล์ไวรัส[นามสกุลที่รันได้] -> เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทางพอร์ต USB -> ระบบปฎิบัติการรับตำแหน่งไฟล์ไวรัส -> ดับเบิลคลิกไดร์ว -> ไวรัสถูกรันบนเครื่อง 2. Fake Folder Spreading คือ เทคนิคที่ทำให้โฟลเดอร์จริงถูกซ่อนไว้ ไวรัสจะทำตัวเองเหมือนโฟลเดอร์ ไวรัสจะสามารถแพร่กระจายได้ เนื่องจากผู้ใช้จำเป็นจะต้องเข้าไปทำงานในโฟลเดอร์ ไวรัสที่ใช้เทคนิคนี้ เช่น Flashy รูปแบบ ไวรัสตรวจสอบชื่อโฟลเดอร์ -> คัดลอกไฟล์ไวรัส[นามสกุลที่รันได้]โดยใช้ชื่อโฟลเดอร์หรือบางส่วนที่พบมาตั้งชื่อ -> ซ่อนโฟลเดอร์จริงจากผู้ใช้ -> สร้างฟังก์ชั่นเพื่อจัดการโฟลเดอร์นั้นๆ -> คลิกเรียกดูงานในโฟลเดอร์ -> ไวรัสถูกรันบนเครื่อง 3. Sub Folder Spreading คือ เทคนิคที่ไวรัสนำชื่อโฟลเดอร์ไปเป็นส่วนหนึ่งของชื่อ ไฟล์ไวรัสในโฟลเดอร์นั้นๆ เทคนิคนี้ถือเป็นเทคนิคในไวรัสรุ่นแรกๆที่ได้อาศัยแฮ นดี้ไดร์วในการแพร่กระจายก็ว่าได้ ไวรัสที่ใช้เทคนิคนี้ เช่น Brontok.A รูปแบบ ไวรัสตรวจสอบชื่อโฟลเดอร์ -> คัดลอกไฟล์ไวรัส[นามสกุลที่รันได้]ซ้อนลงไปในโฟลเดอร์นั้นๆโดยใช้ชื่อโฟลเดอร์หรือบา งส่ วนที่พบมาตั้งชื่อ -> คลิกเรียกดูงานในโฟลเดอร์ -> คลิกไฟล์ไวรัส -> ไวรัสถูกรันบนเครื่อง ARDV ช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง? 1.สามารถป้องกันไวรัสที่ใช้วิธีการสร้างไฟล์ autorun.inf ลงในอุปกรณ์ดิสแบบถอดได้ทุกชนิด และแพร่กระจายตัวเองไปเรื่อยๆ ARDV จะใช้วิธีการตรวจสอบไฟล์ autorun.inf และยกเลิกคำสั่งของไฟล์ ซึ่งทำให้ไวรัสไม่สามารถรันตัวเองเข้าสู่ระบบได้โดยเ ทคนิค autorun อีกต่อไป(หมายเหตุ:สามารถป้องกันไวรัสรูปแบบนี้ใหม่ๆ ต่อไปในอนาคตด้วย) 2.ลดโอกาสเสี่ยงที่จะติดไวรัสที่สร้างไฟล์เลียนแบบชื ่อโฟลเดอร์ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ชือไฟล์กลุ่มเสี่ยง(รันได้)กั บชื่อโฟลเดอร์ร่วมกับวิเคราะห์จำนวนไฟล์ที่พบในโฟลเด อร์นั้นๆ และจะย้ายไฟล์เสี่ยงทั้งหมดไปกักไว้ในโฟลเดอร์ "ardv_suspicious_file(s)" ผู้ใช้สามารถตรวจสอบไฟล์และสามารถลบโฟลเดอร์นี้ทิ้งไ ด้ทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นไฟล์ที่ไม่รู้จัก อย่างไรก็ตามควรระวังอย่างรันไฟล์ในโฟลเดอร์ "ardv_suspicious_file(s)" นอกจากว่ามั่นใจว่าเป็นไฟล์ที่คุณเป็นเจ้าของ เพิ่มเติม:ผู้พัฒนาหวังเป็นอย่างยิ่งว่านี่คือจุดจบข องไวรัส Autorun อย่างสมบูรณ์ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์! ผลการทดสอบ ARDV เบื้องต้น จากการทดสอบการทำงานบนระบบปฎิบัติการ Windows XP รายชื่อไวรัสที่ร่วมทดสอบแล้วมีดังนี้ Hacked by Godzilla, Hacked by Mozilla, Hacked by (ComputerName), Hacked by 8BIT, HELLO WORLD i am VB, killVBS.vbs, CHEAT.VBS ORIGINAL SILLE.B run on GAME ONLINE, Flashy.exe ,Music.exe, AdobeR.exe, BrontokA-B-Al และไวรัสที่เขียนขึ้นเพื่อทดสอบประสิทธิภาพ ARDV อีก 2 ตัวที่สามารถแก้ไขรูปแบบชื่อโฟลเดอร์(ทดสอบฟังก์ชั่น Sub&Fake) ผลออกมาอยู่ ในระดับที่น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ตาม หากพบข้อผิดพลาดจะได้ดำเนินการแก้ไขในรุ่นต่อๆไป ทั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือและความกรุณาจากผู้ใคอม พิวเตอร์ให้ช่วยกันรายงานข้อผิดพลาดที่พบกับมาที่ผู้ พัฒนาด้วย ดาวน์โหลด ARDV ข้อตกลงการใช้งาน : 1.โปรแกรมนี้ใช้งานได้ฟรีสำหรับผู้ที่สนใจ อนุญาติให้มีการคัดลอก แจกจ่าย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น และห้ามทำการซื้อขายโปรแกรมนี้อย่าเด็ดขาด 2.ไม่อนุญาติให้แก้ไขหรือดัดแปลงโค้ด ไม่ว่าจะด้วยวิธีและเหตุผลใดๆก็ตามที่ทำให้การทำงานไ ม่เหมือนเดิม 3.โปรดทำความเข้าใจ โปรแกรมมีขีดจำกัดในการทำงาน 4.ต้องตรวจสอบระบบที่โปรแกรมรองรับก่อนใช้งาน 5.ผู้พัฒนาไม่ขอรับผิดชอบหากการทำงานของโปรแกรมส่งผล ต่อบุคคลหรือขัดขวางการทำงาน กรณีเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนรวม ผู้ดูแลระบบควรเป็นผู้ควบคุมการใช้งานเท่านั้น ระบบปฎิบัติการที่รองรับ: Microsoft Windows 98 SE Microsoft Windows Server 2003 Microsoft Windows XP หมายเหตุ:ระบบปฏิบัติการนอกเหนือจากนี้ที่เป็นตระกูล Windows NT อาจจะรองรับทั้งหมด(ยังไม่เคยทดสอบ)

เปิดกรุจดหมายรัก “ไอน์สไตน์” อีกเสี้ยวชีวิตยอดอัจฉริยะนักรัก


เอเจนซี/บีบีซี – จดหมายรักกว่าพันฉบับลายมือ “ไอน์สไตน์” เผยโฉมต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก ตีแผ่เรื่องราวชีวิตอีกด้านของยอดอัจฉริยะแห่งศตวรรษที่ไม่ได้เป็นแค่นักวิทยาศาสตร์เอกแห่งยุค แต่ยังเป็นนักรักที่มีสาวรุมล้อมมากมาย เผลอๆ อาจจะชำนาญรักมากกว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพอันเลื่องลือ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (10 ก.ค.) มหาวิทยาลัยฮีบรู (Hebrew University) ในเยรูซาเลม ประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นสถานที่ที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) มอบทรัพย์สินส่วนตัวให้เก็บไว้ ได้นำจดหมายลายมือไอน์สไตน์ ราว 3,500 หน้ามาโชว์แก่สาธารณชน ซึ่งจดหมายกองโตนี้มีประมาณ 1,400 ฉบับ ส่วนใหญ่เป็นลายมือของไอน์สไตน์ที่เขียนถึงภรรยาที่สองพร้อมกับลูกเลี้ยง และอีกส่วนเป็นจดหมายจากภรรยาและลูกๆ ในครอบครัวแรก โดยเขียนขึ้นระหว่างปี 2455-2498 “ไอน์สไตน์” มีเวลาอยู่กับครอบครัวน้อยมาก หลังจากได้รับรางวัลโนเบลแล้ว เขาต้องตระเวนบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ และท้ายที่สุดก็ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ กระทั่งเสียชีวิตลงในปี 2498 ด้วยวัย 76 ปี ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะต้องติดต่อผ่านครอบครัวด้วย “จดหมาย” ก่อนหน้านี้ มีการเปิดเผยจดหมายของไอน์สไตน์ถึงมิเลวา มาริก (Mileva Maric) ภรรยาคนแรก แต่ออกมาในทำนองว่า ชีวิตแต่งงานของเขากับมิเลวาที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2446 และมีลูกชายด้วยกันสองคนคือ ฮานส์ อัลเบิร์ต (Hans Albert) และเอดูอาร์ด (Eduard) นั้นลุ่มๆ ดอนๆ จนต้องแยกทางกันในปี 2462 แต่ไม่นานไอน์สไตน์แต่งงานใหม่กับเอลซา (Elsa) ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และแอบเป็นชู้กับเลขานุการของตัวเองชื่อว่า เบ็ตตี นอยมันน์ (Betty Neumann) ส่วนในจดหมายล็อตใหม่ที่ทางมหาวิทยาลัยนำมาเปิดเผยนั้น แสดงให้เห็นว่าไอน์สไตน์พูดถึงหญิงสาว 6 คนที่เขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างแต่งงานอยู่กินกับเอลซา เมื่อต้นทศวรรษ 1980 (ประมาณปี 2523) มาร์กอต (Margot) ลูกสาวของเอลซา มอบจดหมายเกือบ 1,400 ฉบับให้มหาวิทยาลัยฮีบรูที่ไอน์สไตน์ช่วยก่อตั้ง โดยมีข้อแม้ว่า ทางมหาวิทยาลัยจะต้องไม่เปิดเผยจดหมายเหล่านั้นจนกว่าเธอจะเสียชีวิตไปแล้ว 20 ปี โดยมาร์กอตลาโลกไปเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2529 ผู้หญิงที่ไอน์สไตน์กล่าวถึงในจดหมายมีมากมาย อาทิ เอสเตลลา (Estella), อีเทล (Ethel), โทนี่ (Toni) และมาร์การิตา (Margarita) สายลับสาวรัสเซีย ส่วนคนอื่นๆ เขาเรียกด้วยตัวย่อแทน เช่น เอ็ม (M.) และแอล (L.) บาร์บารา วูล์ฟ (Barbara Wolff) แห่งมหาวิทยาลัยฮีบรู ระบุว่า เอ็ม ซึ่งมีชื่อเต็มว่า มิชาโนว์สกี (Michanowski) มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับไอน์สไตน์ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 ถึงต้นทศวรรษถัดมา โดยมิคาโนว์สกีอายุน้อยกว่าไอน์สไตน์ 15 ปี และเข้ากันได้ดีกับมาร์กอต “คุณนายเอ็มตามฉันมา (อังกฤษ) และคอยตามฉันจนไม่เป็นอันทำอะไร” มิชาโนว์สกีถูกกล่าวถึงในจดหมายฉบับหนึ่งที่ไอน์สไตน์ส่งถึงมาร์กอตในปี 2474 อีกทั้งในจดหมายอีกฉบับที่ส่งถึงมาร์กอต ไอน์สไตน์ขอให้ลูกเลี้ยงช่วยนำจดหมายไปส่งให้มาร์การิตา เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นขี้ปากของพวกสอดรู้สอดเห็น วูล์ฟเสริมว่า ไอน์สไตน์มีชู้รักเกินสิบ แต่แต่งงานด้วยเพียงสองคนเท่านั้น และว่าสิ่งที่น่าสนใจที่สุดจากจดหมายกว่าพันฉบับที่เพิ่งได้รับการเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาคือ การที่ไอน์สไตน์คุยเรื่องพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของตัวเองให้ภรรยาคนที่ 2 และมาร์กอตรับรู้ ศาสตราจารย์ฮาน็อก กัตฟรอยด์ (Hanoch Gutfreund) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮีบรู ที่ปัจจุบันเป็นประธานอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เวิลด์ไวด์ เอ็กซิบิชัน (Albert Einstein Worldwide Exhibition) ของ ม.ฮิบรู กล่าวว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่สาธารณชนได้สัมผัสเอกสารส่วนตัวจำนวนมากของไอน์สไตน์ การหยอกเย้าที่ฉับพลันกลับกลายเป็นการปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อภรรยาคนแรก ได้รับการบันทึกไว้ในชีวประวัติของไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ดังผู้นี้ยังถูกวาดภาพว่าเป็นพ่อที่ไม่เต็มใจรับผิดชอบต่อลูก ทว่า กัตฟรอยด์ชี้ว่า จดหมายที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุด แสดงให้เห็นว่าไอน์สไตน์เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์อย่างอบอุ่นกับภรรยาคนแรกและลูกๆ ของทั้งคู่มากกว่าที่เคยคิดกัน อีกทั้งแม้มีการพูดกันว่า การแต่งงานกับเอลซาเป็น ‘การแต่งงานเพื่อความเหมาะสม’ แต่ในความเป็นจริง ไอน์สไตน์เขียนจดหมายถึงภรรยาคนนี้เกือบทุกวัน บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ และสิ่งที่ได้พบระหว่างตระเวนสอนหนังสือในยุโรป กัตฟรอยด์เสริมว่า เมื่อนำจดหมายโต้ตอบเหล่านี้มาร้อยเรียงกัน ทำให้เห็นตัวตนของไอน์สไตน์ชัดเจนยิ่งขึ้น จดหมายเหล่านี้ยังทำให้ได้รู้ที่มาที่ไปของเงินที่ไอน์สไตน์ได้จากรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เมื่อปี 2464 กล่าวคือ ภายใต้ข้อตกลงหย่าร้างกับภรรยาคนแรก เงินก้อนนี้ต้องฝากไว้ในธนาคารสวิสแห่งหนึ่งในชื่อของมิเลวา ซึ่งจะสามารถถอนดอกเบี้ยออกไปใช้จ่ายได้ ก่อนหน้านี้รู้กันเพียงว่า มีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว แต่จดหมายเหล่านี้ทำให้รู้ว่า ไอน์สไตน์นำเงินรางวัลส่วนใหญ่ไปลงทุนในพันธบัตรระยะยาวในสหรัฐฯ ที่ซึ่งเขาอพยพไปตั้งรกรากหลังถูกนาซีขับไล่เช่นเดียวกับนักวิจัยยิวคนอื่นๆ และการลงทุนนั้นขาดทุนย่อยยับในช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกาตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930 ทำให้มิเลวาไม่พอใจและคิดว่าเธอถูกทรยศ เนื่องจากอดีตสามีไม่ยอมฝากเงินรางวัลทั้งก้อนตามสัญญา และตามทวงเงินจากไอน์สไตน์มาตลอด อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วเขาให้เงินภรรยาคนแรกไปมากกว่าเงินที่ได้จากรางวัลโนเบลที่มีมูลค่าในขณะนั้น 28,000 ดอลลาร์ หรือ 280,000 ดอลลาร์เมื่อคิดเป็นมูลค่าเงินปัจจุบัน เป็นที่ชัดเจนว่า บิดาแห่งทฤษฎีสัมพัทธภาพไม่ต้องการถูกผูกติดกับความสำเร็จดังกล่าวชั่วนิรันดร์ ในโปสการ์ดที่ส่งถึงเอลซาเมื่อปี 2464 ไอน์สไตน์บอกว่า “อีกไม่นานผมคงเบื่อกับทฤษฎีสัมพัทธภาพ ถ้าลองใครสักคนต้องอยู่กับอะไรมากเกินไป สิ่งนั้นก็จะค่อยๆ หมดความสำคัญไปเอง”

มันสมองอัจฉริยะ“ไอน์สไตน์”


มันสมองอัจฉริยะ “ไอน์สไตน์” …แค่คิดก็ไม่ธรรมดาแล้ว ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” ใช้ชีวิตโลดแล่นในหลายประเทศ สร้างสรรค์ผลงานทางวิทยาศาสตร์แสนอัศจรรย์ และมีสีสันโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ แม้ไอน์สไตน์จะจากโลกนี้ไปนานนับครึ่งศตวรรษ แต่เรื่องราวชีวิต แนวคิด ผลงานของเขาก็ยังดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น และแปลกประหลาดเกินกว่าที่หลายคนจะคาดเดาได้ ไอน์สไตน์เสียชีวิต ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ.1955 ขณะมีอายุได้ 76 ปี ร่างของเขาถูกเผาตามพิธีการทางศาสนาโดยที่ไม่มีคนในครอบครัวตระหนักเลยว่า มันสมองอัจฉริยะได้สูญหายไป โทมัส เอส.ฮาร์วี แพทย์ผู้ทำการชันสูตรศพได้ลักลอบผ่าสมองของนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่เก็บไว้เพื่อการศึกษา หลังจากแยกสมองออกจากศพแล้ว หมอฮาร์วีได้ทำการแบ่งสมองของไอน์สไตน์ออกเป็น 240 ชิ้น ดองด้วยตัวยาพิเศษและเก็บรักษาไว้ในขวดแก้ว 2 ขวด บางชิ้นส่วนของสมองถูกส่งไปให้นักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญตามสาขาต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่นั้นหมอฮาร์วีเก็บเอาไว้เอง สิ่งที่หมอฮาร์วีปฏิบัติต่อศพของไอน์สไตน์นั้นก่อให้เกิดการวิจารณ์กันอย่างอื้อฉาว จนทำให้หมอฮาร์วีต้องอพยพโยกย้ายไปตามที่ต่าง ๆ และหอบหิ้วมันสมองของไอน์สไตน์ติดตัวตามไปด้วย จนกระทั่งปี 1996 หมอฮาร์วีได้ย้ายกลับมาที่พรินสตันอีกครั้งหนึ่ง และตัดสินใจมอบชิ้นส่วนสมองที่เขารวบรวมไว้แก่ นพ.เอเลียต คลอส หัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยา ที่โรงพยาบาลพรินสตัน การวิจัยค้นคว้าศึกษาความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยการนำชิ้นส่วนสมองทั้งหมดที่ถูกเก็บ ณ โรงพยาบาลพรินสตัน มาถ่ายภาพและประกอบขึ้นเป็นรูปสามมิติ จำลองรูปแบบเหมือนจริงดังกับว่ามันเพิ่งถูกผ่าแยกออกมาจากศพ สิ่งที่ค้นพบก็คือ สมองของไอน์สไตน์มีน้ำหนักเพียง 1,230 กรัมเท่านั้นน้อยกว่าน้ำหนักสมองของมนุษย์โดยเฉลี่ยที่หนักถึง 1,400 กรัม แต่สิ่งที่ไอน์สไตน์ต่างจากมนุษย์ทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็คือ “ความหนาแน่นของเซลล์ประสาทในสมอง” ที่มีมากกว่าปกติหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น “สมองของไอน์สไตน์มีเพียงเส้นแบ่งตื้น ๆ ระหว่างสมองข้างซ้ายและข้างขวา” ในขณะที่คนธรรมดาจะมีรอยแยกชัดเจนระหว่างสมองทั้งสองข้าง เผยให้เห็นถึงการรวมกันอย่างกลมกลืนของสมองทั้งสองซีก นักวิจัยชี้ว่าลักษณะที่พิเศษของสมองแบบนี้อาจอธิบายได้ว่า ทำไมไอน์สไตน์ถึงคิดอย่างที่เขาคิด บางทีวิธีคิดของไอน์สไตน์อาจไม่ผ่านกระบวนการที่ใช้คำบรรยาย แต่อาจผ่านจิตนาการต่าง ๆ ที่เขานึกถึง เสมือนว่ามองเห็นมันด้วยตาเปล่าก็ได้ ทำให้นึงถึงคำพูดของไอน์สไตน์ เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ที่ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” และ “ความรู้มีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการไร้ขีดจำกัด” นั่นเอง ปัจจุบันนี้สมองของไอน์สไตน์ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีที่โรงพยาบาลพรินสตัน ที่เดียวกับที่มันถูกขโมยไปเมื่อห้าสิบปีก่อน
จาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2548

พระพุทธเจ้าในสายตานักปราชญ์โลก


พระพุทธเจ้าในสายตานักปราชญ์โลก
พระคุณสุดพรรณนา
ข้าแต่ ภควันต์ : พระองค์เป็นผู้ทรงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระกรุณาคุณ เป็นปฐมา จารย์ก่อนใครในการบำเพ็ญเพียรเผากิเลสข้าแต่ภควันต์ : พระองค์ได้ทำลายความชั่วบาป และขจัดความโกรธแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูข้าแต่ภควันต์ : พระองค์ทรงชนะมารหมู่มาร พระองค์เสวยวิมุตติสุข และทรงตำหนิปฏิปทาแบบ ชาวบ้าน และหนทางที่ผิดพลาดทั้งหลายข้าแต่ภควันต์ : พระองค์ผู้มีพระบาทประดับด้วยจักร มีซี่ตั้งพัน ข้าพระองค์ หาได้มีลิ้นเป็นพันไม่ ไฉนเลยจะกล่าวสรรเสริญพระคุณขององค์ได้หมดสิ้น
สีตไล สัตตนา มหากวีพุทธชาวทมิฬ (ศตวรรษ ที่ 2) ในวรรณกรรมพุทธภาษาทมิฬชื่อ"มณีเมขไล"


หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้
พระบรมศาสดา ผู้รื้อขนสรรพสัตว์ออกจากทุกข์ เจ้าฟ้าชายสิทธารถ เยื้องย่างสง่างามบนพื้นดิน ทั้งในโลกนี้ เทวโลก และนรกทั้งหลาย พระบรมศาสดาของพวกเรา หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ พระองค์เป็นผู้ได้รับเกียรติจากมหาชน ทรงเป็นผู้มีความปราถนาดีที่สุด องอาจที่สุด และเมตตาที่สุด ทรงเป็นบรมครูผู้สอนธรรม และพระนิพพาน
เซอร์ แอ็ดวิน อาร์โนลด์ ใน "ประทีปแห่งเอเชีย"


บรมครูผู้ยิ่งใหญ่้
เพราะค่าที่พวกเราได้นำเอาหลักคำสอนของพระองค์มาใช้ในชีวิตจริง พวกเราจึงควรถวายการอภิวาทสดุดีแต่พระองค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระบรมครูของมวลมนุษย์ ตลอดเวลาที่โลกนี้ยังดำรงอยู่ ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างไม่หลงเหลือความเคลือบแคลงเลยแม้แต่น้อยว่า พระองค์จะทรงดำรงฐานะปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ
มหาตม คานธีใน "สุนทรพจน์ในพิธีพุทธชยันตี" ปี พ.ศ. 2496 เมืองกัลกัตตา อินเดีย


พระมหาบุรุษผู้สูงสุด
ในวันเพ็ญพระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์นี้ ข้าพเจ้าได้มาร่วมเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ถวายภิวาทด้วยเศียรเกล้า แต่พระองค์ผู้ที่ข้าเจ้ายอมรับนับถือด้วยใจจริงในฐานะมหาบุรุษ ซึ่งยากหนักหนาจะอุบัติขึ้นในโลกนี้…ในนานาประเทศที่ไกลโพ้น ชนทั้งหลายต่างยินดีปรีดาว่าร่วมฉลองการเสด็จมาของพระองค์ พวกเขาประกาศยืนยันว่า เพิ่งได้เคยพบเคยเห็นอุดมบุรุษผู้รุ่งเรืองสว่างไสว ดั่งดวงอาทิตย์ ซึ่งอุทัยขึ้นมาขับม่านเมฆแห่งความมือมนให้วินาศการไป ฉะนั้นิ
รพินทรนาธ ฐากุร ใน"วารสารมหาโพธิ" ฉบับ พ.ย.-ส.ค.2504


อภิชาตบุตรผู้รุ่งโรจน์
พระพุทธเจ้า โอรสแห่งภารตประเทศ เป็นผู้รุ่งโรจน์ที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดและชาญฉลาดที่สุดในโลกแห่งความขัดแย้ง เกลียด และเบียดเบียนกันนี้ พระธรรมคำสอนของพระองค์จึงเปล่งรัศมีเป็นประกาย ดั่งพระอาทิตย์ทรงกลด ฉะนั้น
ฯพณฯ ยวาหรลาล เนห์รู อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย


พระผู้ทรงมหากรุณา
ไม่มีสิ้นสุด คือ พระปัญญาคุณ ของพระพุทธเจ้า ไม่มีพรมแดน คือ พระเมตตาของพระพุทธเจ้า ที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์ ดังนั้น พระองค์จึงมีพระนิมิตนามว่า "มหากรุณิยะ" หมายถึง "พระผู้ทรงมหากรุณาต่อสรรพสัตว์" พระปัญญาญาณ และพระเมตตาของพระพุทธเจ้านั้น ยากนักที่สติปัญญาสามัญของมนุษย์จะเข้าใจได้
อนาคาริกะ ธัมมปาละ,ผู้บุกเบิกการรื้อพระพุทธศาสนาและก่อตั้งสมาคมมหาโพธิในอินเดีย ใน "โลกเป็นหนี้พระพุทธเจ้า"


กลุ่มก้อนแห่งคุณงามความดี
พระพุทธเจ้าคือ กลุ่มก้อนแห่งคุณงามความดีทั้งหมด ซึ่งพระองค์เองได้เทศนาสั่งสอนตลอดช่วงเวลา 45 พรรษา แห่งการประการพรหมจรรย์อย่างสัมฤทธิ์ผล และน่าสังเกตนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงนำเอาพระดำรัสทั้งหมดปรับปรุงไปสู่การกระทำจริงไม่มีที่ใดเลย ที่พระพุทธองค์จะเปิดช่องให้กับความอ่อนแอ หรือกิเลสของมนุษย์ ดังนั้น หลักการทางศีลธรรมของพระพุทธเจ้าจึงสมบูรณ์ที่สุด เท่าที่ชาวโลกเคยประสบมา้
ศาสตราจารย์ แมกซ์ มีลเลอร์,นักภารตวิทยาคนสำคัญชาวเยอรมัน


เผ่าพันธุ์ใหม่
พระพุทธเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมา เผ่าพันธุ์แห่งผู้กล้าหาญทางศีลธรรม เผ่าพันธุ์แห่งผู้พากเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ เผ่าพันธุ์แห่งพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
มันมะฐะ นาถ ศาสตรี

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

บทความน่าอ่านสำหรับทุกคนที่จะเรียนมหาวิทยาลัย

ใครหนอบอกว่า 'ยานเดินทางข้ามเวลา' ไม่มีจริง? ทุกครั้งที่อ่านหนังสือ เราสามารถย้อนกลับสู่อดีต หรือหายไปในอนาคตอย่างง่ายดาย ... ใครกันบอกว่า'มิติที่สี่' ไม่มีจริง? ทุกครั้งที่อ่านหนังสือ เราเดินทางสู่พื้นที่ลึกลับที่ไม่มีใครแย่งชิง และกาลเวลาก็พลอยหยุดนิ่ง... ใครนะบอกว่า'หลุมดำ' ไม่มีจริง? ทุกครั้งที่อ่านหนังสือ ความมืดบอดเขลาปัญญาของเราถูกดูดหายไปทีละน้อยรั้งไม่อยู่... ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่ความล้มเหลว ความล้มเหลวคือความคิดที่ว่าตนเองไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตหากไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย โลกนี้ไม่มีงานสกปรก งานสกปรกคืองานของคนใจสกปรกเท่านั้น โลกนี้ไม่มีงานต่ำต้อย งานต่ำต้อยคืองานของคนที่คิดว่าตนเองไม่มีค่าเท่านั้น ความคิดสร้างสรรค์แตกต่างจากความเพ้อฝันตรงที่มันสามารถเปลี่ยนตัวมันเองให้เป็นความจริงได้ การศึกษาไม่ใช่โรงเรียน ไม่ใช่ตำรา ไม่ใช่มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ประกาศนียบัตร ไม่ใช่ปริญญาบัตร หากคือความสามารถที่ยกระดับของปัญญา และปัญญานั้นไม่ใช่เป็นเพียงความคิดเท่านั้น หากคือความเมตตาด้วย ดังนั้นการศึกษาจึงไม่ใช่การพัฒนาสมองส่วนเดียว หากเป็นการยกระดับจิตใจและวิถีชีวิตด้วย คนฉลาดย่อมรู้จักรักตนเอง คนที่รักตนเองย่อมไม่ทำร้ายตนเองด้วยการเสพสิ่งสกปรก ตั้งแต่สิ่งเสพย์ติด อบายมุข ความฟุ้งเฟ้อ ไปจนถึงอารมณ์ที่ไม่สร้างสรรค์ การใช้ชีวิตก็เหมือนการชักว่าวกลางสายลมแรง คุณไม่มีเวลามาเปิดตำราว่าต้องทำอย่างไร หากมีคนเคยพิชิตยอดเขาสูงมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยร่ำรวยมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยสร้างสรรค์งานชั้นเยี่ยมมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยใช้กำลังใจฝ่าอุปสรรคใหญ่หลวงมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้มาแล้วสักครั้งหนึ่ง ย่อมพิสูจน์ว่าเราก็ทำได้เช่นกัน ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จากโชคไม่น่าภูมิใจเท่าความสำเร็จเล็กน้อยด้วยมือของเราเอง สรรพชีวิตล้วนมีหน้าที่ของมัน เมฆให้ฝน ต้นไม้ให้อากาศเราหายใจ แมลงผสมเกสร ฯลฯ ทำงานของท่านให้ดีที่สุด ฟันเฟืองตัวเล็กที่สุดก็มีส่วนในการขับเคลื่อนโลก มดหนึ่งตัวขนของที่หนักกว่ามันหลายสิบเท่า น่าขันที่เราซึ่งอวดตัวว่าฉลาดกว่ามันกลับทำงานได้น้อยกว่ามัน อย่าอ้างว่าเวลาน้อยทำงานอะไรไม่ได้ เวลาหนึ่งนาทีของผึ้งสามารถดูดน้ำหวานจากดอกไม้กลับบ้าน หนึ่งนาทีของมดสามารถขนเมล็ดข้าวที่หนักกว่าตัวมันไปไกลโข หนึ่งนาทีของปลวกสามารถสร้างรังของมันให้สูงขึ้น ใบไม้เก่าร่วงหล่นจากต้นลงสู่โคนเพื่อเป็นปุ๋ยให้ตัวมันเอง ประสบการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตเป็นอาหารวิเศษให้เราเจริญเติบโตขึ้น เคยเห็นผึ้งฆ่าตัวตายไหม เคยได้ยินมดบ่นไหม เคยได้ยินแมงมุมนินทาชาวบ้านไหม หรือว่าพวกมันรู้ว่ามีเวลาเหลือบนโลกนี้เพียงเล็กน้อย จึงไม่ยอมเสียเวลาทำเรื่องที่ไร้ความหมาย บางครั้งเราต้องกล้าเผชิญชีวิตในโลกอย่างหนอนที่ไชผลแอ๊ปเปิ้ลจากจุดหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ตรงไหน นั่นทำให้การเดินทางนั้นพิเศษ คนทุกคนในโลกสามารถเป็นครูของเรา คลื่นลูกใหม่ทุกลูกล้วนต่อยอดมาจากซากของคลื่นลูกเก่า ประวัติศาสตร์มีไว้ศึกษาประสบการณ์ของคนอื่น จงเรียนรู้จากบทเรียนชีวิตของคนอื่น ใช้ประโยชน์จากมันเฉกเช่นว่ามันเป็นของเรา ความรักธรรมชาติมิได้หมายถึงการเดินทางไกลไปชมสวนใหญ่โต มิใช่การเกลือกกลิ้งบนผืนทรายขาวริมทะเล หรือการเดินทางขึ้นยอดภูเพื่อชมโลก ความรักธรรมชาติอาจเป็นเพียงการดูเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นตามทาง การดูซากร่วงโรยของสรรพสิ่ง และสามารถพิศวงถึงความงามของความจริง ผ่านสี่ห้าปีในมหาวิทยาลัยโดยไม่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ก็เหมือนการเรียนทฤษฎีที่ไม่เคยมีภาคปฏิบัติ สังคมของเราตอนนี้เต็มไปด้วยคนที่เป็นทุกข์ สังเกตจากคนที่ต้องพูดโทรศัพท์ในโรงหนังโดยไม่สามารถมีความสุขง่าย ๆ สักชั่วยามเดียว หากไม่มีกลางคืน หิ่งห้อยคงไม่สามารถเปล่งแสงแสนสวยออกมาให้เราชม หากไม่มีอุปสรรค เราก็คงไม่มีวันใช้ขีดความสามารถของเราถึงที่สุด ทุก ๆ นาทีมีตัวตนของมันเพียงแวบเดียวและไม่หวนกลับมาอีก น่าเสียดายหากต้องเสียมันไปกับการบ่น การก่นด่าโชคชะตา การคร่ำครวญ การนินทา อกหักก็เหมือนเป็นหวัด ติดง่ายหายง่าย ยังไม่เห็นมีใครตายเพราะโรคนี้สักคน ภาพถ่ายที่รีบร้อนล้างมักมืดไป ข้าวที่รีบร้อนหุงมักสุกไม่ทั่ว อาหารที่รีบร้อนปรุงมักไม่อร่อย ทำไมต้องรีบร้อนหาแฟน? การรีบร้อนหาแฟนก็เหมือนการเดินทางไกลโดยไม่ตรวจสภาพรถก่อน หนังสือก็เหมือนวิตามิน กินชนิดเดียวตลอดเวลาไม่ได้ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น คบเพื่อนไม่ดีก็เหมือนพบหนังสือที่ทุกหน้าว่างเปล่าและยังอ่านต่อไป น่าตลกไหมที่บางคนมือหนึ่งถือปริญญาบัตรแนบแน่น อีกมือหนึ่งทิ้งขยะตามที่สาธารณะ ‘ ปริญญาบัตรไม่มีความหมายอะไรเลย หากเรายังไม่สามารถปลดปล่อยตนเองจากความคิดที่ว่าปริญญาบัตรยังคือทุกสิ่ง ‘ จงใช้เพื่อนเป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่ให้นำทาง ‘ ความสนุกของการเรียนรู้คือการลุ้นค้นพบความรู้ใหม่ ๆ ที่เรายังไม่ได้เรียนรู้ ระบบที่เลิกยากที่สุดในสังคมคือระบบทาส ไม่ว่ามองไปในทิศทางไหน ก็เห็นแต่ทาสวัตถุ ทาสเงินตรา ทาสมือถือ ทาสรถยนต์ ทาสยี่ห้อสินค้า ทาสชื่อเสียง น่าขันที่บางคนเห็นโซ่ตรวนเป็นเครื่องประดับ โลกคือแม่ของเรา แม่ผู้เจ็บปวดทุกครั้งที่เราตอบแทนแม่ด้วยการทิ้งขยะ รมแม่ด้วยควันบุหรี่และควันพิษ สาดกายแม่ด้วยสารเคมี ทำลายปอดของแม่ด้วยการลิดรอนต้นไม้ ........... แม่ร้องไห้ด้วยน้ำท่วม หยาดน้ำตาคือฝนที่ตกลงมาผิดเวลา สะอื้นแรงจนแผ่นดินแตกระแหง ........... แต่เพราะแม่ให้อภัยเราเสมอ อาจยังไม่สายเกินไปที่จะทดแทนคุณแม่อีกครั้ง จงผัดวันประกันพรุ่งต่ออบายมุขทุกชนิด คำว่า แม่ ในความรู้สึกของผมเป็นมากกว่าความรัก เป็นการเรียนรู้ชีวิตอย่างหนึ่ง บางสิ่งฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกผมมาตลอด บางสิ่งที่ขาดหายไป นั่นคือผมไม่เคยบอกว่ารักแม่เลยในชีวิต ไม่เคยกอดแม่ เมื่อแม่จากไปอย่างถาวร ผมเกิดความรู้สึกว่าได้สูญเสียโอกาสที่งดงามที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตไปตลอดกาล ผมไม่ใช่คนเดียวที่ประสพกับธรรมเนียมของครอบครัวจีนแบบเก่าที่เห็นว่า การบอกรักคนที่เรารักเป็นเรื่องแปลก เพื่อนชาวไต้หวันคนหนึ่งเคยเล่าว่า เมื่อเธอกลับจากการเรียนต่อที่อเมริกากลับบ้าน แม่ไปรับที่สนามบิน เธอโผเข้ากอดแม่ทั้งที่ตลอดชีวิตไม่เคยทำอย่างนั้น แม่ของเธอมีสีหน้าตกใจอย่างใหญ่หลวง! ผมเรียนรู้ออกจะช้าไปหน่อยว่า เมื่อรักใครก็ควรแสดงออกมาให้เขารู้ แต่ไม่ช้าเกินไปที่จะบอกคนอื่น ๆ ว่า ไปเยี่ยมแม่ของคุณวันนี้ บอกรักแม่ของคุณเสียก่อนที่แม่ของคุณจะไม่ได้ยินคำบอกรักนั้น หากเป็นเช่นนั้นคงน่าเสียดายมากไม่ใช่หรือ ไม่จำเป็นต้องเป็นไก่เท่านั้นถึงจะมี �อารมณ์ขัน�

ปรัชญาหน้ากระจกรถ

ผมขับรถผ่านสี่แยกนั้นทุกวัน ทุกครั้งที่รถจอดรอสัญญาณไฟเขียว ผมคิดถึงงานของผมผมคิดไม่ออกว่าจะขายสินค้าที่ผมรับผิดชอบอย่างไร บอกตรง ๆ สินค้าในสต็อคตัวที่ผมต้องขายนี้เป็นข้าวพันธุ์ที่มีเม็ดไม่สวย และมีสารฆ่าแมลงเจือปน ไม่น่าเชื่อว่าเป็นข้าวไทย มันดูเหมือนข้าวที่ปลูกกลางทะเลทรายสะฮารามากกว่า ผมบอกเจ้านาย "หาจุดขายไม่เจอเลย ไม่ได้คุณภาพ ไม่มีอะไรที่ดีกว่าสินค้าคู่แข่งเลยสักจุดเดียว" เจ้านายกล่าวเพียงว่า "ผมไม่สนใจ คุณต้องขายมันให้ได้ มิฉะนั้น..."คำว่า 'มิฉะนั้น' ของเขาอาจหมายถึงการหางานใหม่ของผม แม้ว่าผมทำงานดีมากี่ครั้งแล้วก็ตาม ไม่มีใครจดจำความดีหลายครั้งของคุณได้เท่ากับความล้มเหลวเพียงครั้งเดียว นี่เป็นสัจธรรมในโลกของผมความคิดผมสะดุดลงเมื่อเห็นเด็กชายวัยไม่น่าจะเกินหกเจ็ดขวบถือแปรงฟองน้ำกับถังพลาสติคใบเล็กตรงมาหาผม เสื้อผ้ามอมแมมพอกับใบหน้า ผมโบกมือไล่ เด็กคนนั้นยกมือไหว้ และยืนริมหน้าต่างรถนิ่ง ผมนิ่ง เขาก็นิ่งราวกับกำลังทดสอบความอดทน ผมเกลียดเด็กพวกนี้ คุณก็รู้มีเด็กแบบนี้เกือบทุกสี่แยก ผมเชื่อว่าคุณก็คงจะเคยมีประสบการณ์กับเด็กพวกนี้สักครั้งหรือสองครั้ง เปล่า! ผมไม่ได้ต่อต้านเด็กที่มารบเร้าขอเช็ดกระจกรถของผม บางทีก็ยัดเยียดขายพวงมาลัย บางครั้งก็ขายหนังสือพิมพ์ หรือผ้าสีขาว ผมเชื่อว่าน่าจะมีเด็กแบบนี้ตามสี่แยกสักหลายพันคนในกรุงเทพฯเป็นแน่ ปัญหาของผมคือทำอย่างไรไม่ให้เด็กทำให้กระจกรถของผมสกปรกไปกว่าเดิม รถของผมยังใหม่ ครั้งหนึ่งผมตวาดไล่เด็กไปด้วยโทสะเมื่อเขาเช็ดรถของผมด้วยผ้าเก่าเขรอะ ผมไขกระจกรถลงมาหยิบเหรียญบาทยื่นให้เขาหนึ่งเหรียญ เขารับเหรียญนั้นไปแล้วยังยืนมองหน้าผมนิ่ง ผมเลิกคิ้วถาม "ไง? ไม่พอหรือ?" เด็กว่า "น้า ขอซักสิบบาทเถอะ" ไฟจราจรกำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมหยิบเหรียญสิบบาทชูขึ้นให้เขาเห็น ยิ้ม และปล่อยเหรียญนั้นตกลงพื้นถนนขณะที่เคลื่อนรถของผมออกไป ผมได้ยินเสียงเบรคจากรถที่ตามมา ได้ยินเสียงกระแทกกันดังโครม แต่ผมไม่ได้หันกลับไปมองผมขับรถผ่านสี่แยกนั้นในวันต่อมา งานอยู่ในหัวขณะที่รถติดเป็นแถวยาว ยังคิดหาวิธีขายข้าวพันธุ์ 'สะฮารา' ของผมไม่ได้เด็กหญิงวัยสิบกว่าขวบคนหนึ่งหน้าตามอมแมมสวมหมวกแก๊ปสีเขียวเดินมาหา ผมทำสัญญาณว่าไม่ต้องการให้เธอเช็ดกระจกรถของผม เธอไม่สนใจ อีกครั้งผมเลื่อนกระจกรถลง ยื่นเหรียญบาทให้เด็ก บอกว่า "เอานี่ไป แล้วไม่ต้องเช็ด""น้าขอหนูสักสิบยี่สิบบาทเถอะ กำลังเดือดร้อน""เป็นเด็กเป็นเล็ก เดือดร้อนอะไรกันนักหนา"เด็กหญิงบอก "น้องหนูถูกรถชนเมื่อวาน โคม่าอยู่ที่โรงพยาบาล"ผมสะดุ้ง นึกถึงเด็กชายที่ผมแกล้งเมื่อวาน ผมยุ่งกับงานจนลืมเรื่องนี้ไปสนิท "ถูกรถชนที่ไหน?""ที่สี่แยกนี้แหละน้า""ใครชน?""รถคันนึง เบรคไม่ทัน แดงก้มลงเก็บตังค์บนพื้น เลยถูกชน"ผมควักธนบัตรหนึ่งร้อยบาทให้เด็กหญิง แล่นรถออกไป ในใจเต็มไปด้วยความคิดต่าง ๆ ผมนอนไม่หลับทั้งคืน ไม่อยากเชื่อว่าเด็กชายคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสเพราะเงินสิบบาท ที่สำคัญคือผมเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์นี้อย่างเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ วันต่อมาผมขับรถผ่านไปที่แยกนั้นอีก แต่ไม่พบเด็กหญิงที่แจ้งข่าวคนนั้น ผ่านไปอีกสองวัน ผมถามเด็กหญิงคนนั้น "น้องชายเธอเป็นยังไงแล้ว?""แดงตายแล้วค่ะน้า เพิ่งเผาเมื่อวานนี้เอง"ใจผมสั่นหวิว ควักธนบัตรสองพันบาทยื่นให้เด็กหญิง "เอาไปเป็นเงินทำบุญให้น้องเถอะ"ผมนอนไม่ หลับอีกหลายคืน ไม่เคยรู้สึกแย่อย่างนี้มาก่อน ความผิดของผมแท้ๆ หลายวันต่อมาผมไม่พบเด็กหญิงคนนั้นอีกเลย สอบถามจากเด็กคนอื่น ก็ไม่มีใครทราบ เด็กชายคนหนึ่งชี้มือไปที่ซอยเล็กริมถนน บอก "บ้านเขาอยู่ในซอยนั่นแหละน้า อยู่สุดซอย บ้านหลังคาสังกะสีทาสีเขียว" ผมตัดสินใจตามไปที่บ้านของเด็กหญิงคนนั้น ขณะที่เดินไปตามทางดินลูกรังในซอย ผมไม่อยากเชื่อว่าหลังตึกระฟ้ามีสลัมซ่อนอยู่ผมหาบ้านหลังคาสังกะสีทาสี เขียวไม่ยาก ผมยืนหลบมุมที่หน้ากองโอ่งครู่หนึ่ง ขณะพยายามนึกหาคำพูดที่เหมาะสมเมื่อเจอเด็กหญิง พลันได้ยินเสียงเด็กหญิงคนนั้น "เอ้า กินซะ ไม่ได้กินอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนี่"เสียงเด็กชายคนหนึ่งว่า "อร่อยจังเลยพี่" ผมชะโงกหน้าออกไปดูทันที เป็นเด็กชายแดงที่ 'ถูกรถชนตายไปแล้ว' คนนั้นนั่นเอง! คนตายคงไม่สามารถยิ้มและกินอาหารอย่างนี้!เด็กสองคนนี้ไม่ได้ไปทำงานหลายวันเพราะเงินสองพันบาทของผม เด็กหญิงว่า "ขอบคุณน้าคนนั้นมากเลยที่ให้ค่าทำบุญมาตั้งเยอะ""พี่ไปขอบคุณเขาทำไม เขาแกล้งแดงรู้ไหม""แต่เขาก็คงรู้สึกแย่ ไม่งั้นไม่ให้เงินมาตั้งเยอะ""พี่เก่งนะที่คิดออกมาได้ ทำให้เขารู้สึกผิด แล้วยังได้เงินมาตั้งสองพัน"ผมเดินถอยกลับออกมา หัวเราะหึ ๆ ในใจรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก ผมน่าจะรู้ว่าเด็กพวกนี้มีสัญชาตญาณเอาตัวรอดสูงกว่าผมเสียอีกผมบอกที่ประชุมในวันต่อมา "มีทางเดียวที่จะขายข้าวของเราคือทำโฆษณาให้คนดูรู้สึกแย่ แบบ Emotional Blackmail น่ะครับ เสนอภาพชาวนาที่กำลังอดตาย ตายคาทุ่งเลย เอาแรง ๆ สื่อให้คนดูรู้ว่า ถ้าเขาไม่ซื้อข้าวของเรา ครอบครัวชาวนาที่มีเด็กเล็กเด็กน้อยอดตายแน่ ๆ"ผมได้ยินเสียงปรบมือในห้องประชุม

สาระน่ารู้ที่นำมาให้อ่าน

คมคำคนคม
Life is pleasant. Death is peaceful. It's the transition that's troublesome.
ชีวิตคือความเบิกบาน ความตายคือความสงบ แต่ไอ้ช่วงระหว่างสองสิ่งนี่ต่างหากที่แย่จังว่ะ
Isaac Asimovไอแซค อสิมอฟ